วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คิดเป็น


                     "คิดเป็น"  หมายถึง  กระบวนการที่คนเรานำมาใช้ในการตัดสินใจ โดยต้องแสวงหาข้อมูลของตนเอง ข้อมูลของสภาพแวดล้อมในชุมชนและสังคมและข้อมูลทางหลักวิชาการแล้วนำมาวิเคราะห์หาทางเลือกในการตัดสินใจที่เหมาะสม มีความพอดีระหว่างตนเองและสังคม

ประวัติความเป็นมา          
                 ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ นักการศึกษาไทยได้ให้แนวคิดทางการ ศึกษานอกโรงเรียนไว้เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษาโดยมีหลักการว่าความต้องการขั้นพื้นฐานของการเรียนของมวลชน เพื่อมุ่งให้เกิดความประสมกลมเกลียวและเข้ากันได้ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งความสมดุลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ หรือสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ เรียกว่า "คิดเป็น" คำว่าคิดเป็นนี้ได้นำ ไปใช้ในโครงการการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ  เพื่อฝึกอบรมครูมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2531  และได้นำไปใช้ในโครงการการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จขั้น ต่อเนื่อง (ระดับที่ 3 และ 4) โครงการผลิตสารผู้ใหญ่ฉบับประชากรศึกษา และโครงการอื่นๆ
สาระสำคัญ          
               สมมุติฐานตามแนวความคิด เรื่องคิดเป็นนี้ได้มาจากหลักปรัชญาทางพุทธศาสนาที่ว่าชีวิตเป็นทุกข์ ความทุกข์จะดับได้จะต้องรู้สาเหตุของความ ทุกข์นั้นๆหลักหรือวิธีการที่จะดับทุกข์หรือแก้ปัญหา จะต้องมีกระบวนการคิด และในกระบวนการคิดนั้นจะต้องมีองค์ประกอบของการคิด เพื่อวิเคราะห์ ปัญหาหรือค้นหาคำตอบ อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้สำเร็จ องค์ประกอบที่สำคัญมีอยู่ 3 ประการ คือ     
               1. ความรู้ที่เป็นความรู้ด้านวิชาการ     
               2. ความรู้ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม     
               3. ความรู้เกี่ยวกับตนเอง          
               จากองค์ประกอบข้างต้น ผู้เรียบเรียงจะต้องชั่งน้ำหนักดูว่า ข้อมูลใดน่าเชื่อถือมากกว่า หรือมีผลดีมากกว่า และตัดสินใจโดยอาศัยการพิจารณา โดยรอบคอบดังเช่นการจะมีบุตรมากหรือน้อย ต้องใช้ข้อมูลทางวิชาการ(การแพทย์)  
ข้อมูลทางด้านสังคม (ความเชื่อของคนในท้องถิ่น ความจำเป็น ในการประกอบอาชีพ)ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง (สุขภาพความพอใจ)  เมื่อพิจารณาว่า ควรจะเลือกตัดสินใจอย่างไร จึงจะได้ผลดีที่สุด ก็เลือกตัดสินใจ
บทสรุป          
               บุคคลจะอยู่ได้อย่างเป็นสุขในสังคมนั้น   จะต้องเป็นผู้คิดเป็น   ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และกระบวนการคิดเป็น   ทำเป็น  แก้ปัญหาเป็นนั้น   ผู้คิดจะต้อง   นำข้อมูล อย่างน้อย 3   ประการ  มาประกอบในการคิด  คือ     
               1. ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง     
               2. ข้อมูลเกี่ยวกับด้านสังคมสิ่งแวดล้อม     
               3. ความรู้ด้านวิชาการ

การศึกษาตลอดชีวิต

ความหมาย
               การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) หมายถึง การรับรู้ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ตั้งแต่เกิดจนตายจากบุคคลหรือสถาบันใดๆ โดยสามารถ จะเรียนรู้ด้วยวิธีเรียนต่างๆ อย่างมีระบบหรือไม่มีระบบ โดยตั้งใจหรือโดยบังเอิญก็ได้ ทั้งนี้สามารถทำให้บุคคลนั้นเกิดการพัฒนา ตนเอง

                      การศึกษาตลอดชีวิต (Lifelong Education) หมายถึง การจัดกระบวนการทางการศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นการจัด การศึกษาในรูปแบบของการศึกษาในระบบโรงเรียน (Formal Education) การศึกษานอกระบบโรงเรียน (Non - Formal Education) และการศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) โดยมุ่งให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self - directed Learning) มุ่งพัฒนาบุคคลให้สามารถพัฒนาตนเอง และปรับตนเองให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองและเศรษฐกิจของโลก

แนวความคิดเกี่ยวกับการศึกษาตลอดชีวิต
                     
การศึกษาตลอดชีวิตเป็นแนวความคิดที่ได้รับ การยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการศึกษาในปัจจุบันแท้จริงแล้วแนวคิดการศึกษา ตลอดชีวิต มิใช่เรื่องใหม่ แต่มีมานานแล้วในคัมภีร์กุรอานมีคำสอนว่า บุคคลพึงเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในเปลถึง หลุมฝังศพ (From cradle to grave) หรือจากครรภ์มารดาถึงสุสาน (From womb to tomb) คอมินิอุส (Comenius) นักศึกษาในสมัยนั้นได้พูดถึงรายละเอียดของกระบวนการศึกษาตลอด ชีวิตว่าควรจัดให้มีโรงเรียน สำหรับทุกคน กล่าวคือ โรงเรียนสำหรับทารกแรกเกิด เด็กก่อนวัยเรียน เด็กเยาวชนวัยเรียน คนหนุ่มสาว และคนชรา ในช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมานี้ได้มีการเผยแพร่เรื่องเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษ และเพิ่มความสนใจไปสู่ทั่วโลก ในการประชุมระหว่างชาติว่าด้วยการศึกษาผู้ใหญ่ (World Conference on Adult Education) ที่จัดโดย Unesco ที่กรุงมอนตรีอัล ประเทศแคนาดา ค.ศ.1960 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ค.ศ.1972 และที่กรุงไนโรบี
ค.ศ.1986 ได้พัฒนาแนวคิดการศึกษาตลอดชีวิต อันมีสาระสำคัญดังนี้
               1. มนุษย์แสวงหาความรู้ และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะมนุษย์เราเรียนรู้จากธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสังคมทุกขณะ เช่น จากการ ทำมาหากิน การเล่น การพักผ่อน การเข้าร่วมพิธีกรรม และการสมาคม เป็นต้น
               2. การศึกษาที่แท้จริงไม่ได้จำกัดแต่เพียงในโรงเรียนแต่ครอบคลุมถึง การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาเกิดได้ตามโอกาส จึงไม่มี วันสิ้นสุด
               3. การศึกษาตลอดชีวิตเปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้รับการศึกษา เพราะสามารถเลือกเรียนตามรูปแบบที่ตนต้องการ ยืดหยุ่นได้ตามโอกาส ทุกคน สามารถ เรียนรู้ได้จากทุกแห่งตามโอกาสจะอำนวย ฉะนั้น มนุษย์จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยการศึกษาอย่างไม่มีจุดจบไปตลอดชีวิต 


การจัดการศึกษาตลอดชีวิต

แนวปฏิบัติเพื่อให้ประชาชนได้รับการศึกษาตลอดชีวิตมีดังนี้

                   1. การศึกษาในระบบโรงเรียนจะต้องไม่สิ้นสุดเพียงเมื่ออยู่ในโรงเรียนแต่จะต้อง จัดให้บุคคลเมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนไปแล้วสามารถเข้ามาเรียนได้อีก    กล่าวคือ โรงเรียนจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้เตรียมความพร้อมด้านความรู้ความสามารถ และปลูกฝังแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาตลอดชีวิตแก่นักเรียนเพื่อให้ นักเรียนสามารถมีทัศนคติ แรงจูงใจที่จะใฝ่รู้ และสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองหลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนแล้ว
                  2. ทุกหน่วยงานในสังคมมีบทบาทในการจัดการศึกษา อาทิ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์   สโมสร   ศาลาประชาคม   วัด   ที่ทำงาน   เป็นต้น อันเป็นการจัดการเครือข่ายการเรียนรู้ของสถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐ และเอกชน เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน เช่น บริการข่าวสาร ข้อมูล ต่างๆ เพื่อเป็นแหล่งความรู้ให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าได้ด้วยตนเอง
                     3. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียน ควรจะจัดหลักสูตรในลักษณะของการบูรณาการ สอดคล้องกับวิถีชีวิตและประสบการณ์ของผู้เรียน เพื่อ เสริมทักษะ ความรู้ และพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน โดยให้ถือการงาน หรือ ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
                     4. หลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิตจะต้องครอบคลุมบทบาทของมนุษย์ ตั้งแต่เกิดจนตายตั้งแต่ชีวิตส่วนบุคคล  ครอบครัว   การงาน   การพักผ่อน  สังคม   การเมือง เศรษฐกิจ ฉะนั้นจะต้องพัฒนาให้มีเครื่องมือที่จะเรียนรู้ สามารถใช้แหล่งวิทยาการ มีแรงจูงใจที่จะคิดศึกษาหาความรู้ไปตลอดชีวิต
                     5. การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยจะต้องเกื้อกูลกัน   สังคมจะต้องส่งเสริมให้มีแหล่งวิชาที่ทุกคนมีโอกาสใช้สื่อทุกประเภท และศึกษา หาความรู้จากแหล่งต่างๆ อาทิ ห้องสมุด วิทยุ โทรทัศน์ พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ

การศึกษาที่เกิดจากการเรียนรู้ในวิถีชีวิตของประชาชน


                        การศึกษาที่เกิดจากการเรียนรู้ในวิถีชีวิตของประชาชน หมายถึง ระบบการเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการ  เป็นระบบที่ไม่มีหลักสูตรระเบียบวิธี หรือแบบ แผนใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นระบบที่เกิดขึ้นก่อนการศึกษาใด ๆ ทั้งสิ้น กิจกรรมที่เห็นชัดเจนมากที่สุด ได้แก่ การอบรมเลี้ยงดูภายในครอบครัว  เด็กเรียนรู้ภาษา   การประพฤติปฏิบัติต่างๆ  การมีส่วนร่วมในกิจกรรมภายในครัวเรือน  การเรียนรู้ด้านการอาชีพจากบิดามารดา  เป็นต้น
                       คำว่า "การศึกษาที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ในวิถีชีวิตของประชาชน"  ได้ระบุครั้งแรกในแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช   2535  โดยใช้แทนคำว่า   การศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษาแบบธรรมดาวิสัย หรือ Informal  Education  ซึ่งเป็นระบบหนึ่งของการศึกษาตลอดชีวิต

สาระสำคัญ
                          ระบบการศึกษาของประเทศไทยในปัจจุบันยึดแนวทางตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2535 โดยเป็นระบบที่ให้บุคคลได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อเนื่องไปตลอดชีวิตเพื่อพัฒนาตนเองทั้งในด้านปัญญา  จิตใจ  ร่างกาย  และสังคม อย่างสมดุล และสามารถเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศ   ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย   อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตนี้รูปแบบหรือระบบการศึกษาที่เกิดจากการ เรียนรู้ในวิถีชีวิต ของ ประชาชนเป็นรูปแบบหนึ่งที่เรียนรู้ได้จาก คำบอกเล่า  การพบปะสนทนากับคนอื่นๆ  รวมทั้งจากการกระทำของตนเอง จะเห็นได้ว่าจะไม่มีการออกแบบจัด กระทำใดๆ ระบบการเรียนอย่างไม่เป็นทางการก็เกิดขึ้นและมีอยู่ตลอดเวลา และระบบนี้คงจะทดแทนด้วยระบบอื่นไม่ได้เช่นกัน แต่ก็เป็นไปได้ที่จะปรับปรุง ประสิทธิภาพของระบบดังกล่าวให้ดีขึ้น เช่น  การเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลที่จำเป็นให้ไปถึงบุคคลในระยะเวลาที่เหมาะสม การพบปะสนทนาให้ความรู้บุคคล ที่อยู่รอบๆ ให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมากขึ้น  (สนอง  โลหิตวิเศษ; 2536 ; 11 - 12)
                                    ส่วนแผนการศึกษาแห่งชาติได้ให้ สาระสำคัญของการศึกษาตามลักษณะนี้ไว้ว่า  เป็นการศึกษาด้วยตนเองจากแหล่งความรู้และสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่
สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของบุคคลทั้งที่มีอยู่เอง และมีมนุษย์จงใจสร้างขึ้น เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ หรือเป็นบริการของการเรียนรู้ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ : 2535; 12)  จากสาระสำคัญทั้ง 2 ประการ ชี้ให้เห็นกรอบความคิดของการศึกษาที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ในวิถีชีวิต 3 ประการ คือ
     1. เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติของการใช้ชีวิตของมนุษย์
     2. เป็นผลอันเนื่องมาจากกระบวนการสังคมประกิต (Socialization)
     3. เป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของบุคคล

บทสรุป
                            การศึกษาที่เกิดจากการเรียนรู้ในวิถีชีวิตเป็นกระบวนการทางการ ศึกษาที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ด้วยตนเองตามธรรมชาติของการใช้ชีวิต    ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของกระบวนการสังคมประกิต สังคมสามารถจัดการศึกษาประเภทนี้ขึ้นโดยการจัดสถานการณ์ให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาในการวัดและประเมินผล

ปัญหาในการวัดและประเมินผล มีสาเหตุมาจาก 2 ประการ คือ
1. ปัญหาการวัดและประเมินผลด้านครูผู้สอน
2. ปัญหาการวัดและประเมินผลด้านเครื่องมือวัดผล

1. ปัญหาการวัดและประเมินผลด้านครูผู้สอน
ปัญหาการวัดและประเมินผลด้านครูผู้สอน หรือด้านบุคลากรมีความสำคัญมาก เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับเครื่องมือที่ใช้ในการสอบวัด ว่ามีคุณภาพหรือไม่ ซึ่งครูผู้สอนเป็นผู้กำหนดการเลือกใช้เครื่องมือ และสร้างเครื่องมือโดยตรง ดังนั้นปัญหาเกี่ยวกับครูผู้สอน มีสาเหตุมาจากสิ่งต่อไปนี้ (วิรัช วรรณรัตน์. 2535 ก : 5-11)
1.1 ขาดความรู้และเทคนิควิธี ซึ่งได้แก่การขาดความรู้ในด้านต่อไปนี้


                    1.1.1 การเลือกใช้เครื่องมือ เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลมีมากมายหลายชนิด หลายรูปแบบ ทั้งที่ใช้วัดด้านพุทธพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย ถ้าหากครูผู้สอนไม่ได้ศึกษาถึงชนิด และรูปแบบเครื่องมือในแต่ละด้านแล้ว การกำหนด หรือการเลือกใช้เครื่องมือเพื่อการสอบวัดย่อมไม่ถูกต้องเหมาะสม หรือไม่รู้ว่าจะเลือกใช้เครื่องมือชนิดใดดี เช่น ลักษณะรูปแบบวิธีการสอบวัดทักษะการพูดมีหลายชนิด หลายรูปแบบ ถ้าครูผู้สอนไม่ทราบถึงชนิดของเครื่องมือหรือวิธีการวัดแล้วย่อมไม่ทราบว่าจะใช้เครื่องมือชนิดใด รูปแบบใด


                    1.1.2 การสร้างเครื่องมือ ในการสร้างเครื่องมือครูผู้สอนจำเป็นต้องมีเทคนิคและความชำนาญในการสร้างเครื่องมือแต่ละชนิด แต่ละรูปแบบ ทั้งนี้เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลไม่คงสภาพ หรือคงรูปเหมือนเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ การใช้เครื่องมือมีทั้งผลดีและผลเสีย การใช้ในการคัดเลือกบุคคลเพื่อแข่งขัน เครื่องมือที่ใช้ไม่สามารถนำมาเปิดเผยได้ ไม่เหมือนกับเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เช่น ตาชั่ง บุคคลใดก็ใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าเป็น ข้อสอบแล้ว ลักษณะและเนื้อหาจะแปรเปลี่ยนไปตามคุณลักษณะที่ต้องการวัด และการใช้เครื่องมือจำเป็นต้องกระทำแบบลักษณะเฉพาะ มิเช่นนั้นจะเกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ดังนั้น ในการสร้างเครื่องมือจึงนับว่าเป็นปัญหาสำคัญยิ่งประการหนึ่ง ที่ครูผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาถึงเทคนิคและวิธีการตลอดจนการฝึกฝนในการสร้างเครื่องมือ ทั้งในด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย แต่ถ้าครูผู้สอนต้องการเพียงมีข้อสอบไว้สอบ หรือสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้วางแผนแล้ว เครื่องมือที่ได้ก็จะขาดประสิทธิภาพ


                1.1.3 ธรรมชาติของกลุ่มประสบการณ์ ถ้าผู้ใช้และผู้สร้างเครื่องมือไม่ทราบถึงธรรมชาติของลักษณะวิชาหรือคุณลักษณะที่พึงเน้น การสอบวัดของครูผู้สอนย่อมไม่ตรงประเด็น เช่น ถ้าไม่ทราบคุณลักษณะที่พึงเน้นในกลุ่มทักษะภาษาไทยซึ่งมี 3 ประการ คือ ใช้ภาษาสื่อความได้ เห็นคุณค่าของความงามของภาษา และมีนิสัยรักการอ่าน การสอนและการสอบก็คงจะดำเนินการเฉพาะเนื้อหาตามตำรา ไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะตามที่ต้องการ จึงเป็นสาเหตุให้การสอบวัดเน้นแต่เนื้อหา หรือเรื่องราวตามตำรา
1.2 ไม่เห็นความสำคัญของการสอบวัด การวัดและประเมินผลเป็นไปอย่างเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย ไม่ทราบว่าการสอบวัดแต่ละครั้งต้องการอะไร ลักษณะเช่นนี้ จะสะท้อนให้เห็นสภาพการเรียนการสอนได้ว่า ครูผู้สอนนั้นสอนหนังสือตามเนื้อหาหรือเรื่องราวที่มีให้ในตำรา โดยตนเองไม่ทราบว่าแต่ละเนื้อหามีจุดมุ่งหมายอย่างไร ไม่ทราบว่าจะให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในด้านใด ซึ่งเท่ากับสอนหนังสือโดยตนเองไม่ทราบว่าสอนไปทำไม


แนวทางการแก้ไขปัญหา ครูผู้สอนต้องกำหนดจุดมุ่งหมายของการสอนและการสอบให้ชัดเจน โดยจัดทำแผนการสอนและวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์ในสมุดประจำชั้นกับจุดประสงค์ในคู่มือครู ทั้งนี้เพื่อให้การสอบวัดมีเป้าหมายชัดเจน และสอดคล้องกับเป้าหมายในการเรียนการสอน


1.3 ขาดการวางแผนในการสร้างคำถาม การวางแผนการสอบวัดเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยจะกำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบ กำหนดประเด็นและคุณลักษณะที่จะต้องสอบวัด จำนวนข้อคำถามและเวลาที่ใช้ เลือกรูปแบบเครื่องมือ ตลอดจนการดำเนินการสอบ การตรวจให้คะแนน และการแปลผล ปัญหาการสอบวัดในปัจจุบันคือ ครูผู้สอนจัดส่งข้อสอบไม่ตรงเวลา ข้อสอบที่ส่งมักลอกมาจากของเก่าหรือลอกมาจากแบบฝึกหัดต่างๆ การจัดส่งกระชั้นชิด ไม่มีเวลาตรวจสอบความถูกต้องและคุณภาพของข้อคำถาม การออกข้อสอบใช้เวลาอย่างรวดเร็วโดยให้มีจำนวนข้อที่มาก การสร้างข้อสอบโดยไม่ได้เตรียมคำถามไว้ก่อน เร่งเขียนเมื่อใกล้เวลาสอบ สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้อสอบไม่พิถีพิถัน ทำแบบขอไปทีให้เสร็จทันเวลา ซึ่งบางครั้งจะเป็นสาเหตุให้เขียนข้อสอบตามตำรา เขียนตามที่นึกออกในขณะนั้นหรือคัดเลือกจากข้อสอบต่าง ๆ ซึ่งวิธีการดังกล่าวนี้เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องมือขาดคุณภาพ เช่น มีคำถามไม่ครอบคลุมเนื้อหา วัดไม่ครอบคลุมทุกพฤติกรรม


แนวทางการแก้ไขปัญหา ต้องมีการวางแผนโดยกำหนดจุดมุ่งหมายในการวัด กำหนดคุณลักษณะที่สอบวัด เลือกรูปแบบเครื่องมือ การสร้างข้อคำถามในเวลาที่เหมาะสม กำหนดแบบแผนการตรวจให้คะแนน การแปลผล ตลอดจนใช้ผลการสอบให้คุ้มค่า


1.4 การแปลผลการสอบคลาดเคลื่อน ผลที่ได้จากการสอบทุกครั้ง จะต้องนำมาแปลผลอย่างมีความหมาย โดยทั่วไปการแปลผลการสอบมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ แปลผลโดยเปรียบเทียบกับผลการวัดภายในกลุ่มของเด็ก ซึ่งเรียกว่าการประเมินผลแบบอิงกลุ่ม (norm reference) กับการเปรียบเทียบคะแนนกับเกณฑ์หรือมาตรฐาน ซึ่งเรียกว่าการประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (criteria reference) การแปลผลไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใดก็ตาม ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า คะแนนหรือผลการวัดนั้นใช้แทนคุณลักษณะใดของผู้สอบ ผลการวัดละเอียดเพียงใด ความคลาดเคลื่อนของผลการวัดมีมากน้อยเพียงใด
1.5 ใช้ผลการวัดให้คุ้มค่า การสอบวัดแต่ละครั้งต้องลงทุนลงแรงและใช้เวลามากแต่ผลตอบแทนที่ได้รับจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าครูส่วนใหญ่มักใช้ผลการสอบเพียงเพื่อตัดสินว่าใครสอบได้-ตกเท่านั้น ลักษณะการสอบวัดเช่นนี้ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการสอบในปัจจุบัน เพราะการวัดและประเมินผลที่ดีมิได้มุ่งแต่เพียงได้-ตก เท่านั้น แต่จะมุ่งหวังที่จะค้นหาและพัฒนาความสามารถที่เด่น-ด้อยของเด็กด้วย


แนวทางการแก้ไขปัญหา ครูผู้สอนจะต้องใช้ผลการสอบแต่ละครั้งให้เกิดประโยชน์โดยตรงและโดยอ้อม ทั้งต่อตัวเด็กและตัวครูใน 4 ประการ คือ เด็กเก่ง-อ่อนวิชาใด เด็กคนนี้ เก่ง-อ่อน อะไรตรงไหน เด็กงอกงามหรือไม่ปานใด และเครื่องมือที่ใช้มีคุณภาพเพียงใด


1.6 กิจกรรมการสอนของครูมีมาก ครูผู้สอนมักจะพูดเกี่ยวกับการวัดและประเมินผล อยู่เสมอว่าไม่มีเวลา สอนมาก สอนเหมารวมอยู่คนเดียว ฯลฯ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นยอมรับว่าเป็นความจริงแต่เมื่อประกอบอาชีพครูแล้วการวัดและประเมินผลถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อ คุณภาพการเรียนการสอน ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของครูที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้


แนวทางการแก้ไขปัญหา ครูผู้สอนจะต้องเสียสละเวลาในบางส่วนเพื่อการวัดผลและประเมินผล จะคุ้มค่ามากขึ้นถ้าหากครูผู้สอนสามารถจัดทำคลังข้อสอบ (Item Blank)ไว้ได้จะเป็นการดี เพราะจะช่วยให้ทุ่นเวลาและแรงงานในการสร้างหรือออกข้อสอบ


1.7 ครูไม่เข้าใจความมุ่งหมายของการวัดผลที่แท้จริง การวัดผลนั้นเป็นกระบวนการที่ควบคู่ไปกับการเรียนการสอน กล่าวคือสอนแล้วสอบ พอสอบแล้วสอน ครูสอบนักเรียนโดยเน้นหนักในการดูตัวเด็ก แต่ครูไม่เน้นว่าสอบวัดนั้นเพื่อจะดูผลการสอนของตน ในขณะที่ครูสอบความรู้ความสามารถของเด็กนั้น ครูก็ตรวจสอบการสอนของตนด้วย โดยการวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อเพื่อดูว่าข้อสอบนั้นมีคนทำถูกกี่คน นอกจากจะบอกให้ทราบว่าข้อนั้นมีความยากง่ายเพียงใดแล้วยังบอกให้ทราบว่า การสอนเนื้อหาวิชาตอนนั้นได้ผลเพียงใด ข้อสอบที่นักเรียนทำไม่ได้ไม่เพียงแต่จะแปลว่าข้อสอบยาก แต่จะช่วยให้รู้ว่าการสอนเนื้อหาวิชาตอนนั้นได้ผลเพียงใด เด็กทำเนื้อหาวิชาตอนนั้นไม่ได้เพราะครูไม่ได้สอน หรือสอนแล้วเด็กไม่เข้าใจ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ จะทำให้มีการปรับปรุงการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น
2. ปัญหาการวัดและประเมินผลด้านเครื่องมือวัดผล
การวัดผลที่ใช้เครื่องมือวัดผลที่ดี มีคุณภาพ จะทำให้ได้ข้อมูลหรือคะแนนที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ถ้าการประเมินผลที่ใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้แล้ว ผลการประเมินก็จะน่าเชื่อถือ ทำให้การลงสรุป หรือการตัดสินใจถูกต้อง มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการวัดและประเมินผลที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับเครื่องมือวัดผลมีอยู่หลายประการ คือ (วิรัช วรรณรัตน์. 2535 ข : 46-50)


2.1 เครื่องมือวัดไม่ตรงจุดประสงค์ กล่าวคือ ข้อสอบที่ใช้จะเน้นถามแต่บางเนื้อหาบางพฤติกรรม ทำให้ไม่ครอบคลุมคุณลักษณะที่ต้องการวัด จึงทำให้ผลการวัดนั้น มิได้เกิดจากการวัดคุณลักษณะที่ต้องการ ถ้าการประเมินผลใช้ข้อมูลไม่ตรงตามลักษณะที่ต้องการแล้ว การลงสรุปหรือการตัดสินใจย่อมผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป สาเหตุที่ทำให้เครื่องมือวัดผลไม่ตรงจุดประสงค์ คือ


2.1.1 ไม่เข้าใจคุณลักษณะที่ต้องการวัด ไม่ทราบว่าสิ่งที่ต้องการวัดนั้นคืออะไร ผู้เรียนจะแสดงพฤติกรรมอะไรออกมาจึงจะบ่งบอกและชี้ให้เห็นว่าเป็นคุณลักษณะที่ต้องการ


แนวทางการแก้ไขปัญหา ควรศึกษาและทำความเข้าใจหลักสูตร ลักษณะธรรมชาติของกลุ่มประสบการณ์ และคุณลักษณะที่พึงเน้น ตลอดจนสมรรถภาพที่ต้องการ และ จุดประสงค์การเรียนที่ต้องใช้ในการวัดและประเมินผลนั้น ทั้งก่อนการเรียนการสอนและการสอบ ทั้งนี้เพื่อให้การสอนและการสอบ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
2.1.2 การใช้เครื่องมือไม่ถูกต้อง เนื่องจากเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลมีหลายชนิด ได้แก่ ข้อสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ และการตรวจสอบ เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือแต่ละชนิดมีทั้งข้อดีและข้อจำกัด ดังนั้นถ้าเลือกเครื่องมือไม่เหมาะสมไปวัดย่อมทำให้ได้ผลที่ไม่แท้จริง


แนวทางการแก้ไขปัญหา ควรศึกษาลักษณะรูปแบบของเครื่องมือ ตลอดจนข้อดีและข้อจำกัดของเครื่องมือแต่ละชนิดแล้วฝึกสร้างเครื่องมือเพื่อให้เกิดความชำนาญและเข้าใจในลักษณะของเครื่องมือ ซึ่งจะช่วยให้เลือกใช้เครื่องมือได้ถูกต้องตามคุณลักษณะที่ต้องการ
2.1.3 วัดได้ไม่ครบถ้วน ในการวัดนอกจากจะวัดได้ตรงประเด็นแล้วยังต้องวัดได้ครอบคลุมครบถ้วนทุกลักษณะความสามารถ จึงจะเพียงพอต่อการสรุปผล เช่น การสอบวัดทักษะการเขียนโดยพิจารณาเฉพาะการสะกดคำ ปรากฏว่าผู้สอบได้คะแนนมาก แล้วสรุปว่าผู้สอบมีความสามารถทางภาษาไทย ย่อมไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง


แนวทางการแก้ไขปัญหา ควรจะต้องวางแผนในการสอบวัด โดยการทำการวิเคราะห์หลักสูตรเพื่อกำหนดสัดส่วนความสำคัญของเนื้อหา หรือคุณลักษณะพฤติกรรมออกมาเป็นตัวเลขเพื่อประโยชน์ในการกำหนดจำนวนข้อสอบ


2.2 เครื่องมือขาดคุณภาพ ผลของการวัดในแต่ละครั้งจะมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดส่วนหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับเครื่องมือ ถ้าเครื่องมือมีคุณภาพการวัดย่อมเชื่อถือได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเครื่องมือมีคุณภาพต่ำ ผลการวัดย่อมมีความคลาดเคลื่อนไม่น่าเชื่อถือ สำหรับคุณลักษณะเครื่องมือที่ดีมีหลายประการ ได้แก่ ความเที่ยงตรง ความเชื่อมั่น อำนาจจำแนก ประสิทธิภาพ ความเป็นปรนัย เป็นต้น ดังนั้น ในการวัดผลและประเมินผลที่ต้องการนำผลการวัดไปใช้ในการแปลผลพฤติกรรมความสามารถของบุคคล หรือนำไปใช้เพื่อการสรุปผลการเรียน จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือก่อนนำไปใช้ หรือหลังจากการสอบวัดแล้ว เพื่อนำผลมาตรวจสอบคุณภาพ และปรับปรุงเครื่องมือให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นต่อไป



การประเมินโครงการ (Project Evaluation)

                   การประเมินโครงการมีเป้าประสงค์หลักคือ  ต้องการข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโครงการที่ดำเนินการนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่หรือเป็นโครงการที่คุ้มค่าต่อการตัดสินใจในการดำเนินการหรือไม่  รวมถึงการศึกษาว่าในการดำเนินการโครงการมีปัญหาที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในเรื่องอะไรบ้าง  และเป็นโครงการที่มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด
                    การประเมินโครงการ  หมายถึง  กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบที่ก่อให้เกิดสารนิเทศในการปรับปรุงโครงการ  และสารนิเทศในการตัดสินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเพื่อสรุปผลว่าโครงการนั้น ๆ ได้บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมาย  และมีประสิทธิภาพเพียงใด 

ประเภทของการประเมินโครงการ
จำแนกการประเมินโครงการออกเป็น  4  ประเภท  ดังนี้
                    1.  การประเมินโครงการก่อนดำเนินการ  (Preliminary  Evaluation)  เป็นการศึกษาประเมินความเป็นไปได้  (Feasibility  Study)  ก่อนที่เริ่มโครงการใด  ๆ โดยอาจทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพของปัจจัยป้อน  ความเหมาะสมของกระบวนการที่คาดว่าจะนำมาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ  ปัญหา  อุปสรรค  ความเสี่ยงของโครงการ  ตลอดจนผลลัพธ์  หรือประสิทธิผลที่คาดว่าจะได้รับ 
                    2.  การประเมินระหว่างดำเนินการโครงการ  (Formative  evaluation)  เป็นการประเมินผลเพื่อการปรับปรุงเป็นสำคัญซึ่งมักจะใช้ประเมินผลระหว่างแผนหรือระหว่างพัฒนาโครงการ ผลที่ได้จาก Formative  evaluation  นั้น  จะช่วยตั้งวัตถุประสงค์ของโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่แท้จริง  นอกจากนั้น  Formative  evaluation  อาจใช้ในระหว่างดำเนินโครงการ  จะช่วยตรวจสอบว่า  โครงการได้ดำเนินไปตามแผนของโครงการอย่างไร 
                      3.  การประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการหรือประเมินผลผลิต  (Summative  Evaluation)  เป็นการประเมินผลรวมสรุป  มักจะใช้ประเมินหลังสิ้นสุดโครงการ  ซึ่งผลสรุปที่ได้จะนำสู่การรายงายว่า  โครงการได้บรรลุเป้าหมาย  (Goals)  หรือไม่อย่างไร  ตลอดจนการรายงานถึงสถานภาพของโครงการว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวเพียงไร  มีปัญหาหรืออุปสรรคใดที่ต้องแก้ไขปรับปรุงข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารโครงการสามารถนำไปสู่การตัดสินว่า  โครงการนั้นควรดำเนินการต่อหรือยกเลิก
                    4.  การประเมินประสิทธิภาพ  การประเมินโครงการโดยทั่วไป  มุ่งที่จะทราบความสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการเท่านั้น  ทั้งนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ให้บริการหรือผู้ให้ทุนในการยุติหรือขยายโครงการ  แต่ในปัจจุบันนักประเมิน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินประสิทธิภาพของโครงการด้วย  โดยถือว่าเป็นประเภทของการประเมินที่จำเป็นสำหรับโครงการบริการทั่วไป  เพราะจะช่วยเสริมให้โครงการเหล่านั้น  สามารถดำเนินการอย่างสอดคล้องกับสภาวการณ์ของสังคม  การดำเนินโครงการบริการสังคมนั้น  จะไม่มุ่งแต่เพียงความสำเร็จของโครงการเท่านั้น  แต่จะต้องให้คุ้มค่าในเชิงของประสิทธิภาพด้วย
รูปแบบการประเมินโครงการ
1.              แนวคิดและรูปแบบการประเมินแบบซิป  (CIPP  Model)  เป็นการประเมนภาพรวมของโครงการ  ตั้งแต่บริบท  ปัจจัยป้อน  กระบวนการ  และผลผลิต  (Context,  Input,  Process  and  product)  โดยจะใช้วิธีการสร้างเกณฑ์และประสิทธิภาพของโครงการ  ทั้งภาพรวมหรือรายปัจจัยเป็นสำคัญ  ซึ่งพออธิบายได้ดังนี้
                   1.1    การประเมินด้านบริบท  หรือประเมินเนื้อความ  (context Evaluation )  เป็นการศึกษาปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาเป้าหมายของโครงการ  ได้แก่  บริบทของสภาพแวดล้อม  นโยบาย  วิสัยทัศน์  ปัญหา  แหล่งทุน  ตลอดจนแนวโน้มการก่อตัวของปัญหาที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ  เป็นต้น
                   1.2   การประเมินปัจจัยป้อน  (Input Evaluation) เพื่อต้นหาประสิทธิภาพขององค์ประกอบที่นำมาเป็นปัจจัยป้อน 
                    1.3  การประเมินกระบวนการ  (Process Evaluation)  เป็นการศึกษากระบวนการเป็นไปตามแผนที่วางไว้  เป็นการศึกษาค้นหาข้อบกพร่อง  จุดอ่อน  หรือจุดแข็งของกระบวนการบริหารจัดการโครงการที่จะนำโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
                    1.4  การประเมินผลิตผล  (Product Evaluation)  เป็นการตรวจสอบประสิทธิผลของโครงการ  โดยความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับผลลัพธ์ที่ได้แล้วนำเกณฑ์ที่กำหนดไว้ไปตัดสิน  เกณฑ์มาตรฐานนั้นอาจจะกำหนดขึ้นเองหรืออาศัยเกณฑ์ที่บุคคลหรือหน่วยงานอื่นกำหนดไว้ก็ได้ 
          2.   แนวความคิดและแบบจำลองของ  R.W.  Tyler
                 การประเมินคือการเปรียบเทียบพฤติกรรมเฉพาะอย่าง  (performance)  กับจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่วางไว้  โดยมีความเชื่อว่า  จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน  รัดกุมและจำเพาะเจาะจงแล้ว  จะเป็นแนวทางช่วยในการประเมินได้เป็นอย่างดีในภายหลัง  ซึ่งต่อมาปี  1950  ได้มีรูปแบบ  มาใช้เป็นกระบวนการตัดสินการบรรลุวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ทำการประเมิน  (R.W.  Tyler.1950)  เรียกว่า “Triple Ps Model”   ดังนี้
                    P-Philosophy  &  Purpose  -ปรัชญา/จุดมุ่งหมาย
                    P-Process  -กระบวนการ
                    P-Product  -ผลผลิต
                    ในการประยุกต์ใช้ในการประเมินโครงการทางการศึกษาได้โดยการประเมินความสัมพันธ์ของทั้ง 3  ว่า  ปรัชญา/จุดมุ่งหมายของโครงการมีความสัมพันธ์กับกระบวนการและผลผลิตหรือไม่  ถ้าประเมินเป็นส่วน ๆ ก็จะประเมินในด้านประสิทธิภาพของปรัชญา/จุดมุ่งหมายและกระบวนการประเมินประสิทธิผลของผลผลิตว่าตรงกับปรัชญา/จุดมุ่งหมายหรือไม่  มีประสิทธิภาพเพียงใด  เป็นต้น

3.  แนวความคิดของ  Stake  ในการประเมิน
                    แนวความคิดของ  Robert  E.  Stake  นั้น  คำนึงถึงความต้องการสารสนเทศที่แตกต่างกันของบุคคลหลาย ๆ ฝ่าย  ที่เกี่ยวข้องกับโครงการในการประเมินโครงการ  เพราะการประเมินนั้นเพื่อที่จะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของโครงการอย่างละเอียดลึกซึ้ง  เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ
                    ดังนั้นการประเมินโครงการจึงต้องมีการบรรยายเกี่ยวกับโครงการอย่างละเอียดเพื่อให้ครอบคลุมถึงสารสนเทศที่จะตองสนองความต้องการของผู้เกี่ยวข้อง  เพื่อจะนำไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการนั้น  จึงเสนอรูปแบบของการประเมินโครงการอย่างมีระบบ  โดยการบรรยายและตัดสินคุณค่าเกี่ยวกับโครงการตามหลักการของโครงการนั้น ๆ
                   Stake  ได้เน้นว่า  การประเมินโครงการจะต้องมี  2  ส่วน  คือ  การบรรยาย  (Descriptive)  และการตัดสินคุณค่า  (Judgment)
                   ในภาคการบรรยายนั้น  ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ประเมินจะต้องหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการให้ได้มากที่สุด  ประกอบด้วย  2  ส่วน  คือ
             1.    เป้าหมายหรือความคาดหวัง  (Goals  or  Intents)  เป้าหมายที่ครอบคลุมนโยบายทั้งหมด       
             2.    สิ่งที่เป็นจริงหรือสังเกตได้  (Observations)  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสภาพความเป็นจริง 
ซึ่งทั้ง  2  ส่วน   ประกอบด้วย  3  ส่วน  คือ
              1.  สิ่งนำ  (Antecedence)  เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อน  ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับผลของการเรียนการสอน
              2.  ปฏิบัติการ  (Transactions)  เป็นผลสำเร็จของการจัดกระทำงานเป็นองค์ประกอบของขบวนการเรียนการสอน
              3.  ผลลัพธ์  (Outcomes)  เป็นผลของโปรแกรมทางการศึกษา
                    ความสอดคล้องระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เป็นจริง  มิได้เป็นตัวชี้บ่งว่าข้อมูลที่เราได้มีความเที่ยงหรือความตรง  แต่เป็นเพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า  สิ่งที่ตั้งใจไว้ได้เกิดขึ้นจริงเท่านั้น
                    ในภาคการตัดสินคุณค่า  เป็นส่วนที่จะตัดสินว่า  โครงการประสบความสำเร็จหรือไม่เพียงใด  นักประเมินต้องพยายามศึกษาดูว่า  มาตรฐานอะไรบ้างที่เหมาะสมในการที่จะนำมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยในการตัดสินใจโดยทั่ว ๆ ไป  เกณฑ์ที่ใช้มี  2  ชนิด  คือ
                    1.  เกณฑ์สัมบูรณ์  (Absolute  Criterion)  เป็นเกณฑ์ที่เราตั้งไว้  อาจจะเกิดขึ้นก่อนโดยมีความเป็นอิสระจากพฤติกรรมของกลุ่ม
                    2.  เกณฑ์สัมพัทธ์  (Relative  Criterion)  เป็นเกณฑ์ที่ได้มาจากพฤติกรรมของกลุ่ม
                    ถ้าผู้ประเมินไม่สามารถหามาตรฐานที่จะนำมาเปรียบเทียบได้  ก็ต้องพยายามหาโครงการอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยในการตัดสินใจ  แบบจำลองนี้มุ่งเน้นความสอดคล้อง  และความสมเหตุสมผลของเมตริกบรรยาย  และเมตริกตัดสินคุณค่า  สำหรับความสอดคล้องนั้น  มี  2  ลักษณะ  คือ
                    1.  Contingence  เป็นความสอดคล้องเชิงเหตุผล  จะพิจารณาความสัมพันธ์ในแนวตั้งตาม  ของสเต้ก
                    2.  Congruence  เป็นความสอดคล้องที่ปรากฏขึ้นจริง  หรือเป็นความสอดคล้องในเชิงประจักษ์  (empirical)  พิจารณาความสัมพันธ์ในแนวนอนตาม  ของสเต้ก
ข้อดีสำหรับรูปแบบของการประเมินของสเต้ก  คือ  เสนอวิธีการประเมินเป็นระบบ  เพื่อจัดเตรียมข้อมูลเชิงบรรยาย  และตัดสินคุณค่า  มีมาตรฐานในการประเมินปรากฏชัดเจน  แต่มีข้อจำกัดคือ  เซลล์บางเซลล์ของเมตริกมีความคาบเกี่ยวกัน  และความแตกต่างระหว่างเซลล์ไม่ชัดเจน  ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งภายในโครงการได้