วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การประเมินโครงการ (Project Evaluation)

                   การประเมินโครงการมีเป้าประสงค์หลักคือ  ต้องการข้อมูลที่บ่งชี้ว่าโครงการที่ดำเนินการนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่หรือเป็นโครงการที่คุ้มค่าต่อการตัดสินใจในการดำเนินการหรือไม่  รวมถึงการศึกษาว่าในการดำเนินการโครงการมีปัญหาที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในเรื่องอะไรบ้าง  และเป็นโครงการที่มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด
                    การประเมินโครงการ  หมายถึง  กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบที่ก่อให้เกิดสารนิเทศในการปรับปรุงโครงการ  และสารนิเทศในการตัดสินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเพื่อสรุปผลว่าโครงการนั้น ๆ ได้บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมาย  และมีประสิทธิภาพเพียงใด 

ประเภทของการประเมินโครงการ
จำแนกการประเมินโครงการออกเป็น  4  ประเภท  ดังนี้
                    1.  การประเมินโครงการก่อนดำเนินการ  (Preliminary  Evaluation)  เป็นการศึกษาประเมินความเป็นไปได้  (Feasibility  Study)  ก่อนที่เริ่มโครงการใด  ๆ โดยอาจทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพของปัจจัยป้อน  ความเหมาะสมของกระบวนการที่คาดว่าจะนำมาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ  ปัญหา  อุปสรรค  ความเสี่ยงของโครงการ  ตลอดจนผลลัพธ์  หรือประสิทธิผลที่คาดว่าจะได้รับ 
                    2.  การประเมินระหว่างดำเนินการโครงการ  (Formative  evaluation)  เป็นการประเมินผลเพื่อการปรับปรุงเป็นสำคัญซึ่งมักจะใช้ประเมินผลระหว่างแผนหรือระหว่างพัฒนาโครงการ ผลที่ได้จาก Formative  evaluation  นั้น  จะช่วยตั้งวัตถุประสงค์ของโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่แท้จริง  นอกจากนั้น  Formative  evaluation  อาจใช้ในระหว่างดำเนินโครงการ  จะช่วยตรวจสอบว่า  โครงการได้ดำเนินไปตามแผนของโครงการอย่างไร 
                      3.  การประเมินเมื่อสิ้นสุดโครงการหรือประเมินผลผลิต  (Summative  Evaluation)  เป็นการประเมินผลรวมสรุป  มักจะใช้ประเมินหลังสิ้นสุดโครงการ  ซึ่งผลสรุปที่ได้จะนำสู่การรายงายว่า  โครงการได้บรรลุเป้าหมาย  (Goals)  หรือไม่อย่างไร  ตลอดจนการรายงานถึงสถานภาพของโครงการว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวเพียงไร  มีปัญหาหรืออุปสรรคใดที่ต้องแก้ไขปรับปรุงข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ผู้บริหารโครงการสามารถนำไปสู่การตัดสินว่า  โครงการนั้นควรดำเนินการต่อหรือยกเลิก
                    4.  การประเมินประสิทธิภาพ  การประเมินโครงการโดยทั่วไป  มุ่งที่จะทราบความสำเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการเท่านั้น  ทั้งนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ให้บริการหรือผู้ให้ทุนในการยุติหรือขยายโครงการ  แต่ในปัจจุบันนักประเมิน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินประสิทธิภาพของโครงการด้วย  โดยถือว่าเป็นประเภทของการประเมินที่จำเป็นสำหรับโครงการบริการทั่วไป  เพราะจะช่วยเสริมให้โครงการเหล่านั้น  สามารถดำเนินการอย่างสอดคล้องกับสภาวการณ์ของสังคม  การดำเนินโครงการบริการสังคมนั้น  จะไม่มุ่งแต่เพียงความสำเร็จของโครงการเท่านั้น  แต่จะต้องให้คุ้มค่าในเชิงของประสิทธิภาพด้วย
รูปแบบการประเมินโครงการ
1.              แนวคิดและรูปแบบการประเมินแบบซิป  (CIPP  Model)  เป็นการประเมนภาพรวมของโครงการ  ตั้งแต่บริบท  ปัจจัยป้อน  กระบวนการ  และผลผลิต  (Context,  Input,  Process  and  product)  โดยจะใช้วิธีการสร้างเกณฑ์และประสิทธิภาพของโครงการ  ทั้งภาพรวมหรือรายปัจจัยเป็นสำคัญ  ซึ่งพออธิบายได้ดังนี้
                   1.1    การประเมินด้านบริบท  หรือประเมินเนื้อความ  (context Evaluation )  เป็นการศึกษาปัจจัยพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาเป้าหมายของโครงการ  ได้แก่  บริบทของสภาพแวดล้อม  นโยบาย  วิสัยทัศน์  ปัญหา  แหล่งทุน  ตลอดจนแนวโน้มการก่อตัวของปัญหาที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการ  เป็นต้น
                   1.2   การประเมินปัจจัยป้อน  (Input Evaluation) เพื่อต้นหาประสิทธิภาพขององค์ประกอบที่นำมาเป็นปัจจัยป้อน 
                    1.3  การประเมินกระบวนการ  (Process Evaluation)  เป็นการศึกษากระบวนการเป็นไปตามแผนที่วางไว้  เป็นการศึกษาค้นหาข้อบกพร่อง  จุดอ่อน  หรือจุดแข็งของกระบวนการบริหารจัดการโครงการที่จะนำโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
                    1.4  การประเมินผลิตผล  (Product Evaluation)  เป็นการตรวจสอบประสิทธิผลของโครงการ  โดยความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์กับผลลัพธ์ที่ได้แล้วนำเกณฑ์ที่กำหนดไว้ไปตัดสิน  เกณฑ์มาตรฐานนั้นอาจจะกำหนดขึ้นเองหรืออาศัยเกณฑ์ที่บุคคลหรือหน่วยงานอื่นกำหนดไว้ก็ได้ 
          2.   แนวความคิดและแบบจำลองของ  R.W.  Tyler
                 การประเมินคือการเปรียบเทียบพฤติกรรมเฉพาะอย่าง  (performance)  กับจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมที่วางไว้  โดยมีความเชื่อว่า  จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน  รัดกุมและจำเพาะเจาะจงแล้ว  จะเป็นแนวทางช่วยในการประเมินได้เป็นอย่างดีในภายหลัง  ซึ่งต่อมาปี  1950  ได้มีรูปแบบ  มาใช้เป็นกระบวนการตัดสินการบรรลุวัตถุประสงค์ของสิ่งที่ทำการประเมิน  (R.W.  Tyler.1950)  เรียกว่า “Triple Ps Model”   ดังนี้
                    P-Philosophy  &  Purpose  -ปรัชญา/จุดมุ่งหมาย
                    P-Process  -กระบวนการ
                    P-Product  -ผลผลิต
                    ในการประยุกต์ใช้ในการประเมินโครงการทางการศึกษาได้โดยการประเมินความสัมพันธ์ของทั้ง 3  ว่า  ปรัชญา/จุดมุ่งหมายของโครงการมีความสัมพันธ์กับกระบวนการและผลผลิตหรือไม่  ถ้าประเมินเป็นส่วน ๆ ก็จะประเมินในด้านประสิทธิภาพของปรัชญา/จุดมุ่งหมายและกระบวนการประเมินประสิทธิผลของผลผลิตว่าตรงกับปรัชญา/จุดมุ่งหมายหรือไม่  มีประสิทธิภาพเพียงใด  เป็นต้น

3.  แนวความคิดของ  Stake  ในการประเมิน
                    แนวความคิดของ  Robert  E.  Stake  นั้น  คำนึงถึงความต้องการสารสนเทศที่แตกต่างกันของบุคคลหลาย ๆ ฝ่าย  ที่เกี่ยวข้องกับโครงการในการประเมินโครงการ  เพราะการประเมินนั้นเพื่อที่จะรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของโครงการอย่างละเอียดลึกซึ้ง  เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการ
                    ดังนั้นการประเมินโครงการจึงต้องมีการบรรยายเกี่ยวกับโครงการอย่างละเอียดเพื่อให้ครอบคลุมถึงสารสนเทศที่จะตองสนองความต้องการของผู้เกี่ยวข้อง  เพื่อจะนำไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการนั้น  จึงเสนอรูปแบบของการประเมินโครงการอย่างมีระบบ  โดยการบรรยายและตัดสินคุณค่าเกี่ยวกับโครงการตามหลักการของโครงการนั้น ๆ
                   Stake  ได้เน้นว่า  การประเมินโครงการจะต้องมี  2  ส่วน  คือ  การบรรยาย  (Descriptive)  และการตัดสินคุณค่า  (Judgment)
                   ในภาคการบรรยายนั้น  ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ประเมินจะต้องหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการให้ได้มากที่สุด  ประกอบด้วย  2  ส่วน  คือ
             1.    เป้าหมายหรือความคาดหวัง  (Goals  or  Intents)  เป้าหมายที่ครอบคลุมนโยบายทั้งหมด       
             2.    สิ่งที่เป็นจริงหรือสังเกตได้  (Observations)  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสภาพความเป็นจริง 
ซึ่งทั้ง  2  ส่วน   ประกอบด้วย  3  ส่วน  คือ
              1.  สิ่งนำ  (Antecedence)  เป็นสภาพที่มีอยู่ก่อน  ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับผลของการเรียนการสอน
              2.  ปฏิบัติการ  (Transactions)  เป็นผลสำเร็จของการจัดกระทำงานเป็นองค์ประกอบของขบวนการเรียนการสอน
              3.  ผลลัพธ์  (Outcomes)  เป็นผลของโปรแกรมทางการศึกษา
                    ความสอดคล้องระหว่างสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เป็นจริง  มิได้เป็นตัวชี้บ่งว่าข้อมูลที่เราได้มีความเที่ยงหรือความตรง  แต่เป็นเพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า  สิ่งที่ตั้งใจไว้ได้เกิดขึ้นจริงเท่านั้น
                    ในภาคการตัดสินคุณค่า  เป็นส่วนที่จะตัดสินว่า  โครงการประสบความสำเร็จหรือไม่เพียงใด  นักประเมินต้องพยายามศึกษาดูว่า  มาตรฐานอะไรบ้างที่เหมาะสมในการที่จะนำมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยในการตัดสินใจโดยทั่ว ๆ ไป  เกณฑ์ที่ใช้มี  2  ชนิด  คือ
                    1.  เกณฑ์สัมบูรณ์  (Absolute  Criterion)  เป็นเกณฑ์ที่เราตั้งไว้  อาจจะเกิดขึ้นก่อนโดยมีความเป็นอิสระจากพฤติกรรมของกลุ่ม
                    2.  เกณฑ์สัมพัทธ์  (Relative  Criterion)  เป็นเกณฑ์ที่ได้มาจากพฤติกรรมของกลุ่ม
                    ถ้าผู้ประเมินไม่สามารถหามาตรฐานที่จะนำมาเปรียบเทียบได้  ก็ต้องพยายามหาโครงการอื่นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาเปรียบเทียบเพื่อช่วยในการตัดสินใจ  แบบจำลองนี้มุ่งเน้นความสอดคล้อง  และความสมเหตุสมผลของเมตริกบรรยาย  และเมตริกตัดสินคุณค่า  สำหรับความสอดคล้องนั้น  มี  2  ลักษณะ  คือ
                    1.  Contingence  เป็นความสอดคล้องเชิงเหตุผล  จะพิจารณาความสัมพันธ์ในแนวตั้งตาม  ของสเต้ก
                    2.  Congruence  เป็นความสอดคล้องที่ปรากฏขึ้นจริง  หรือเป็นความสอดคล้องในเชิงประจักษ์  (empirical)  พิจารณาความสัมพันธ์ในแนวนอนตาม  ของสเต้ก
ข้อดีสำหรับรูปแบบของการประเมินของสเต้ก  คือ  เสนอวิธีการประเมินเป็นระบบ  เพื่อจัดเตรียมข้อมูลเชิงบรรยาย  และตัดสินคุณค่า  มีมาตรฐานในการประเมินปรากฏชัดเจน  แต่มีข้อจำกัดคือ  เซลล์บางเซลล์ของเมตริกมีความคาบเกี่ยวกัน  และความแตกต่างระหว่างเซลล์ไม่ชัดเจน  ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งภายในโครงการได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น